การแข่งขันแบดมินตัน กีฬา “พาราลิมปิก โตเกียว 2020” ที่โยโยกิ เนชั่นแนล สเตเดี้ยม กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 4 กันยายน เป็นการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ และชิงชนะเลิศบางประเภท ซึ่งมีนักแบดมินตันไทย ผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือก 3 ประเภทจาก ประเภทหญิงเดี่ยว คลาส WH 1 “ปุ๊” สุจิรัตน์ ปุกคำ พบ ฉาง จิง จากจีน / หญิงคู่ คลาส WH สุจิรัตน์ ปุกคำ – อำนวย เวชวิฐาน ดีกรีแชมป์โลกจะได้แก้มือเจอกับ ซารินะ ซาโตมิ – มูมะ ยามาซากิ จากญี่ปุ่น หลังจากแพ้มาในรอบแบ่งกลุ่ม / ชายคู่ คลาส WH จักรินทร์ หอมหวน – ดำเนิน จันทร์ทอง จะพบกับ คิม จุง จุน – ลี ดอง ซุป จากเกาหลีใต้
ไฮไลท์อยู่ที่ คู่ชิงชนะเลิศ ประเภทหญิงเดี่ยว คลาส WH 1 สุจิรัตน์ ปุกคำ นักแบดมินตันสาววัย 35 ปีชาว จ.เชียงรายมือวางอันดับ 2 ที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศมาได้ หลังเอาชนะ ฉาง จิง จากจีน ในรอบรองชนะเลิศ 2-0 เกม 21-11, 21-7 โดยเข้าไปพบกับ ซารินะ ซาโตมิ มือวางอันดับ 1 ของรายการจากญี่ปุ่น ที่เอาชนะ หยิน เม็ง หลู่ จากจีน 2-0 เกม 21-18, 21-18 ในรอบรองชนะเลิศ
สถิติคู่นี้เคยเจอกันมาทั้งหมด 4 ครั้ง 2 ครั้งแรกเป็น ซาโตมิ เอาชนะไป แต่ 2 ครั้งหลังสุดที่เจอกันเมื่อปี 2019 สุจิรัตน์ เอาชนะได้ทั้ง 2 ครั้ง โดยหนล่าสุดที่เจอกันคือ การเทสต์อีเว้นต์พาราลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว เมื่อปี 2019 ซึ่งสุจิรัตน์ เอาชนะไป 2-0 เกม
เกมแรก สุจิรัตน์ ออกสตาร์ทดีกว่านำห่าง 7-3 ตบสาวไทยยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจทั้งการตบ การหยอด การเซฟท้ายคอร์ตทำให้ทิ้งห่าง 11-4 นักตบลูกขนไก่สาวไทย ยังคงสถานการณ์ไว้ได้หมดนำห่าง 14-6 จากนั้นสุจิรัตน์ เริ่มตีผิดพลาดเองโดนไล่มา 10-14, 13-16 ก่อนที่สุจิรัตน์ จะปิดเกมแรกเอาชนะไปก่อน 21-14 ขึ้นนำ 1-0 เกม
เกมที่สอง สุจิรัตน์ เริ่มตีผิดพลาดเองหลายครั้งทำให้ตามหลังห่าง 5-10 คะแนน ก่อนจะเบรกครึ่งเกมแรกสาวไทยตามหลัง 7-11 ก่อนจะไล่มา 9-13, 12-15 และจี้มา 13-15, 14-15 และมาเสมอกัน 15-15 สุจิรัตน์แซงนำ 16-15, 17-15 ชนิดสะใจกองเชียร์ชาวไทยในสนาม และได้มาอีกแต้มนำ 18-15 แต่สาวญี่ปุ่นไม่ยอมง่ายๆ ไล่มา 18-18 แต่ ซาโตมิ พลิกกลับมาแซงนำ 19-18, 20-18 ก่อนที่ซาโตมิ ปิดเกมเอาชนะไป 21-19 ทำให้เสมอกัน 1-1 เกม
ต้องตัดสินหาผู้ชนะในเกมตัดสิน สุจิรัตน์ออกนำก่อน 2-1 ก่อนจะมาเสมอกัน 2-2 และมาเสมอกัน 5-5 และ 7-7 และสุจิรัตน์ มีอาการปวดที่แขนขวาทำให้ตีเสียเองบ่อยครั้งตามหลัง 7-10 และจบครึ่งเกมของเกมตัดสินตามหลังอยู่ 8-11 ออกมาสู้กันใหม่สุจิรัตน์ โดนทิ้งห่าง 13-11 และ 15-11 และสุดท้ายสุจิรัตน์ที่มีทั้งอาการบาดเจ็บรบกวนและอ่อนแรงพ่ายไป 13-21
สรุป สุจิรัตน์ พ่าย ซาโตมิ 1-2 เกม 21-14, 19-21 และ 13-21 คว้าเหรียญเงินไปครอง
นอกจากนี้ สุจิรัตน์ ปุกคำ ยังลงแข่งขันประเภทหญิงคู่ คลาส WH รอบรองชนะเลิศ จับคู่กับ อำนวย เวชวิฐาน ซึ่งทั้งคู่แบกดีกรีแชมป์โลก 2015 ที่อังกฤษ ลงสนามพบกับ ซารินะ ซาโตมิ – มูมะ ยามาซากิ จากญี่ปุ่น โดยในรอบแบ่งกลุ่มคู่ของสาวเจ้าภาพเคยเอาชนะคู่สาวไทยมาแล้ว ผลปรากฏว่า คู่สาวไทย โดนย้ำแค้นพ่ายไปอีก 0-2 เกม 17-21, 16-21 ทำให้หญิงคู่ของไทยต้องไปชิงเหรียญทองแดง โดยพบกับ ซินเธีย มาเตซ์ – การิน ซูเตอร์ เอราธ หญิงคู่จากสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 5 กันยายน
ส่วนประเภทสุดท้าย ชายคู่ คลาส WH รอบรองชนะเลิศ จักรินทร์ หอมหวล จับคู่กับ ดำเนิน จันทร์ทอง พบกับ คิม จุง จุน – ลี ดอง ซุป จากเกาหลีใต้ ผลปรากฏว่า คู่หนุ่มไทยพยายามสู้เต็มที่แต่ต้านความแกร่งของคู่จากเกาหลีใต้ไม่ไหวพ่ายไป 0-2 เกม 18-21, 13-21 ต้องไปเล่นชิงเหรียญทองแดงพบกับ ไดกิ คาจิวาระ – ฮิโรชิ มูระยาม่า ชายคู่ของ “เจ้าภาพ” ญี่ปุ่น ในวันที่ 5 กันยายนเช่นกัน
สำหรับ “ปุ๊” สุจิรัตน์ ปุกคำ เกิดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2529 ปัจจุบันอายุ 35 ปี เป็นชาว จ.เชียงราย โดยตอนอายุ 15 ปีสุจิรัตน์โชคร้ายเกิดอาการเจ็บป่วยด้วยภาวะลิ่มเลือดทับไขสันหลังรักษาไม่ได้จนเป็นเหตุให้สูญเสียขาทั้ง 2 ข้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเธอจะเสียขาทั้ง 2 ข้างไปแต่ด้วยความพยายามและรักในการเล่นแบดมินตัน ทำให้เธอมุ่งมั่นตั้งใจฝึกซ้อมแบดมินตันกระทั่งประสบความสำเร็จติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อปี 2552 และก้าวไปครองบัลลังก์แชมป์โลกประเภทหญิงคู่ จับคู่กับ อำนวย เวชวิฐาน ในปี 2015 ที่ประเทศอังกฤษ
จากการคว้าเหรียญเงินของ “ปุ๊” สุจิรัตน์ ปุกคำ ทำให้เธอจะได้รับเงินรางวัลตอบแทนความสำเร็จจากรัฐบาลไทยผ่านทางกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ตามหลักเกณฑ์ โดยมีสิทธิ์เลือกรับเงินรางวัล 2 เงื่อนไขตามที่กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติระบุในประกาศ เงื่อนไขแรก เหรียญทอง จะได้รับเงินอัดฉีด 7,200,000 บาท, เหรียญเงิน 4,800,000 บาท และเหรียญทองแดง 3,000,000 บาท โดยเงื่อนไขนี้จะแบ่งจ่าย ซึ่งจ่ายเป็นก้อนให้นักกีฬาก่อนในอัตราร้อยละ 50 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 50 จะจ่ายเป็นรายเดือน ภายในระยะเวลา 4 ปี ส่วนเงื่อนไขที่สอง จ่ายครั้งเดียวเป็นก้อนเดียว แต่จะได้รับในอัตราที่น้อยลง โดยเหรียญทองจะได้รับเงินรางวัลทั้งสิ้น 6,000,000 บาท, เหรียญเงิน 4,000,000 บาท และเหรียญทองแดง 2,500,000 บาท