สำหรับ “คริสเตียน อิริคเซ่น” จอมทัพทีมชาติเดนมาร์ก ที่หมดสติ และล้มลงไปนอนกับพื้นสนาม ระหว่างเกมที่บ้านเกิดของเขาพ่ายต่อฟินแลนด์ 0-1 ก่อนที่เพื่อนร่วมทีม และแพทย์สนาม จะรีบเข้ามายื้อชีวิตได้ทันเวลา
เรื่องที่น่าสนใจคือ ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษในเส้นทางลูกหนัง อิริคเซ่น เข้ารับการตรวจหัวใจมาโดยตลอด แต่ไม่เคยพบกับความผิดปกติเลย นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ดาวเตะวัย 29 ปี อาจจะต้องเลิกเล่นฟุตบอลก่อนถึงเวลาอันควร
ช่วงนี้ ….. เราลองย้อนกลับไปดูเส้นทางลูกหนังของ อิริคเซ่น กันหน่อยว่า เขาต้องผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้าง กว่าที่จะก้าวมาเป็นซูเปอร์สตาร์เหมือนทุกวันนี้
โดยที่เรื่องราวที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน นั่นคือเขาเคยถูกหลายสโมสรดัง อาทิเชลซี และบาร์เซโลน่า ปฏิเสธในการรับเข้าร่วมทีมมาแล้ว
อิริคเซ่น เกิด และเติบโตที่ “มิดเดิลฟาร์ท” เมืองท่าอันเงียบสงบของประเทศเดนมาร์ก เป็นเมืองเล็ก โดยมีสถานที่ต่างๆอย่าง สวนสัตว์, พิพิธภัณฑ์เซรามิก, โรงละคร, ศูนย์วัฒนธรรม และสนามฟุตบอลมากมาย ท่ามกลางประชากรเพียง 15,000 คน
อิริคเซ่น เริ่มต้นย้อนความทรงจำว่า เขาถือเป็นเด็กที่ชื่นชอบการเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาเล่นกีฬาได้หลากหลายชนิด พร้อมกับค้นพบตัวเองด้วยว่า อยากจะเอาดีในเส้นทางสายนี้ โดยเฉพาะการเล่นฟุตบอล ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เขาชอบทำมากที่สุด
โดยกล่าวว่า “ย้อนเวลากลับไป ตอนที่ผมอายุ 12 ผมมีโอกาสลงแข่งขันแบดมินตัน และสามารถคว้าแชมป์ระดับทัวร์นาเมนต์มาครองได้ด้วย แต่สิ่งที่ผมต้องการจริงๆแล้ว นั่นคือการเล่นฟุตบอล จากนั้น ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมระบบเยาวชนของโอเดนเซ่“
กระทั่งปี 2008 แมวมองของสโมสรอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ทำการดึงตัวเขาไปร่วมทีมอะคาเดมี่ พร้อมกับดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในเวลาต่อมา
แต่ระหว่างทางเดินนั้น อิริคเซ่น ต้องพบกับแบบทดสอบมากมาย โดยเฉพาะการถูกสโมสรดังในยุโรป ปฏิเสธรับตัวเข้าร่วมทีม แต่เขาก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคดังกล่าว
อิริคเซ่น กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ”ผมมีโอกาสไปทดสอบฝีเท้ากับเชลซี และลงเล่น 3 เกมในระดับยู-18 ผมมีโอกาสลงสนามพบกับทีมอย่าง มิลล์วอลล์ และเวสต์แฮม”
“นอกจากนี้ ผมยังได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม เมื่อทีมเด็กของเรา เคยรับประทานอาหารร่วมกับทีมชุดใหญ่ด้วย แน่นอนว่า คุณจะได้เห็นโชเซ่ มูรินโญ่ และดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เดินผ่านไปผ่านมาด้วย“
ดาวเตะทีมชาติเดนมาร์ก เล่าต่อว่า ”นอกจากนี้ ผมยังเดินทางไปคัดตัวกับบาร์เซโลน่า เป็นจำนวน 5 วันด้วยกัน พร้อมกับการได้ลงเตะอุ่นเครื่องกับทีมแห่งแคว้นกาตาลุนญ่า“
“การทดสอบฝีเท้ากับบาร์ซ่า ตลอดทั้งเกม 90 นาที ผมมีโอกาสสัมผัสกับลูกบอลเพียง 3 ครั้งเท่านั้น !! ผมวิ่งพล่านไปทั่วสนาม พร้อมกับตะโกนว่า –ส่งบอลมาที่ผมได้ครับ– แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย“
ผลสุดท้าย อิริคเซ่น ก็สามารถที่จะพิสูจน์ตัวเอง ในแบบฉบับที่เขาเลือกเดิน ผ่านการเป็นนักเตะของทีม อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม,สเปอร์ส และล่าสุดกับอินเตอร์ มิลาน ทุกอย่างถูกผสมผสานไปด้วยความเป็นมืออาชีพ
เขากล่าวว่า “สำหรับผมแล้ว ตลอด 1 สัปดาห์ ผมเป็นคนที่ให้เวลากับฟุตบอลตลอดทั้ง 7 วัน ต้องยอมรับว่า มันถือว่าเป็นเรื่องยากสำหรับภรรยาของผมเหมือนกัน”
“เพราะผู้คนต่างคิดกันว่า การเป็นนักฟุตบอลถือเป็นอาชีพง่ายๆ แค่ซ้อมวันละ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็กลับบ้าน อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่แนวทางของผมเลย“
“ผมต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดเพื่อเกมต่อไป ผมต้องเรียนรู้ ทั้งการพักผ่อน, การนอนหลับ, การกินอาหาร และการดูแลร่างกายตัวเอง นักเตะบางคนต้องการนักจิตวิทยาการกีฬาเข้ามาดูแล แต่ผมไม่ต้องการอะไรแบบนั้นหรอก เพราะผมเป็นคนที่ลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเองอยู่แล้ว”
นี่คือตัวตนของอิริคเซ่น จากปากของเขาเอง นอกจากนี้ บุคคลใกล้ชิดยังออกมายืนยันอีกเสียงว่า อิริคเซ่น เป็นนักเตะที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง และที่สำคัญ นี่คือคนที่มีความติดดิน และไม่หลงกับความเป็นซูเปอร์สตาร์ลูกหนังเลยแม้แต่น้อย
เกล็น ริดเดอร์สโฮล์ม อดีตโค้ชทีมชาติเดนมาร์ก รุ่นอายุต่ำกว่า 17 ปี ที่เคยทำงานร่วมกับอิริคเซ่น ออกมาพูดถึงลูกศิษย์คนนี้เอาไว้ว่า “บรรดาเพื่อนร่วมทีมของอิริคเซ่น ต่างพากันเป้าหมายว่า ตัวเองต้องตกเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง และยังต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียง อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยมองภาพตัวเองเป็นแบบนั้นเลย”
“ย้อนกลับไปตอนที่เขาอายุยังน้อย ทุกคนต่างพูดถึงทักษะ และยกย่องความสามารถของเขา ทว่าเขายังคงสงบนิ่ง และไม่สนใจ สิ่งที่เขาทำมีเพียงแค่การทำงานหนัก พร้อมกับพัฒนาจุดบกพร่องของตัวเอง”
“นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากนักเตะในช่วงวัยเดียวกัน แทนที่จะปล่อยความมีชื่อเสียงเข้าไปอยู่ในหัว แต่เขาไม่ทำแบบนั้น สิ่งเหล่านั้นคือแรงผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้า”
“ในฐานะผู้เล่นแล้ว อิริคเซ่น ถือว่าเป็นนักเตะที่ฉลาดมาก เหมือนนักเตะอย่างชาบี เอร์นานเดซ และอิเนียสต้า เขามีภาพวาดในหัวล่วงหน้า ในการเข้าไปอยู่ในพื้นที่ เขาสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้ดีกว่าคนอื่น”
“เขาเล่นสโมสรไหนก็ได้บนโลกใบนี้ เพราะเขาสามารถปรับตัวได้กับทุกระบบ ผู้เล่นอัจฉริยะสามารถเล่นเกมระดับสูงได้ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ เรอัล มาดริด กับบาร์เซโลน่า”