เจาะความหวัง 3 เหรียญทอง “โอลิมปิก” ทัพกีฬาไทย เป็นไปได้แค่ไหน – บทความกีฬาอื่นๆ – SMMSPORT

หลังรอคอยกันมายาวนาน ในที่สุดมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่แห่งมวลมนุษยชาติ “โอลิมปิกเกมส์” ก็ถึงเวลาแข่งขัน แบบไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ คือการแข่งขันกันเองภายใต้กติกาแต่ไร้กองเชียร์ มีแต่ผู้ชมส่งใจผ่านการถ่ายทอดสดด้วยระบบคมชัดสูง (4k) หรือ “โฟร์เค”

 โอลิมปิก เกมส์ ครั้งที่ 32 “โตเกียว 2020” มีนักกีฬาทีมชาติไทย ผ่านเข้ารอบสุดท้าย รวมทั้งหมด 42 คน จากจำนวน 16 ชนิดกีฬาที่ลงทำการแข่งขัน ความหวังเหรียญโอลิมปิกไทย จะทำได้ดีแค่ไหนเป็นเรื่องที่น่าติดตาม

สรุปรายชื่อและประวัติ 42 นักกีฬาไทย เข้าร่วมชิงชัยโอลิมปิกเกมส์ 2020

 นับตั้งแต่ “พเยาว์ พูลธรัตน์” คว้าเหรียญทองแดง ในการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่น รุ่นไลต์ฟลายเวท ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ 1976 ที่มอลทรีอัล ประเทศแคนาดา นับจากนั้นมา ไทย ไม่เคยพลาดเหรียญ “โอลิมปิก” แม้แต่ครั้งเดียว

 จากการแข่งขันล่าสุด “ริโอ เกมส์ 2016” โอลิมปิก ครั้งที่ 31 ประเทศบราซิล ทัพนักกีฬาไทยสามารถคว้ามาได้ถึง 6 เหรียญ จากยกน้ำหนัก 2 เหรียญทอง ผลงานของ สุกัญญา ศรีสุราช และ โสภิตา ธนสาร  2 เหรียญเงิน จากยกน้ำหนัก พิมศิริ ศิริแก้ว และเทควันโดจาก เทวินทร์ หาญปราบ ปิดท้ายด้วย 2 เหรียญทองแดง จากยกน้ำหนักชาย สินธุ์เพชร์ กรวยทอง และเทควันโด พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ

 น่าเสียดาย กีฬายกน้ำหนัก ที่สร้างความสำเร็จทำเหรียญให้ทัพนักกีฬาไทยมาโดยตลอดยังไม่พ้นโทษแบนจากการแข่งขัน ทำให้ความหวังในการล่าเหรียญทองของไทยจึงดูน้อยไปจากหลายครั้งที่ผ่านมา

 อย่างไรก็ตามล่าสุดฝ่ายพัฒนากีฬาเป็นเลิศ การกีฬาแห่งประเทศไทย วางเป้าหมายและจัดกลุ่มคาดหวังในการคว้าเหรียญทองสูงสุดถึง 3 เหรียญทอง จาก 5 ชนิดกีฬา คือ เทควันโด, มวยสากลสมัครเล่น, กอล์ฟ, ยิงเป้าบิน และ แบดมินตัน

                                                                          “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ

 วิเคราะห์เจาะแล้วพบว่า 3 เหรียญทองจาก 5 ชนิดกีฬามีความหวัง เริ่มจาก “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เทควันโด รุ่น 49 กิโลกรัมหญิง ซึ่้งถือเป็นความหวังสูงสุดอันเนื่องมาจากผลงานที่ไร้เทียมทานของจอมเตะจากสุราษฏร์ธานี คว้ามาหมดทุกรางวัลจนขึ้นแท่นเป็นมือ 1 ของรุ่น โดยโอลิมปิกครั้งที่ผ่านมาคว้าเหรียญทองแดงแบบน่าเสียดาย มาถึง “โตเกียว” ด้วยความสามารถและประสบการณ์ทำให้มีความหวังว่า “เทนนิส” พาณิภัค จะทำสำเร็จ

 อีก 1 เหรียญทองมีโอกาสจากทีมมวยสากลสมัครเล่น คือ ธิติสรรค์ ปั้นโหมด มวยสากลสมัครเล่น รุ่นฟลายเวทชาย, สุดาพร สีสอนดี มวยสากลสมัครเล่น รุ่นไลท์เวทหญิง และ ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี มวยสากลสมัครเล่น รุ่นเฟเธอร์เวทชาย 

 หากมองแล้วโอกาสมากที่สุดน่าจะเป็น “เหลิม” ธิติสรรค์ ปั้นโหมด นักชกในรุ่น 52 กก. ชาย ถือเป็นม้ามืดที่น่าจับตามอง นักวัย 19  ก้าวขึ้นอย่างรวดเร็ว สร้างชื่อด้วยการเป็นแชมป์เยาวชนโลก 2018 ในการชกรุ่น 49 กิโลกรัมชาย ก่อนจะมาโชว์ฟอร์มสดโค่นแชมป์โอลิมปิก 2016 “ริโอ เกมส์” แต่แล้วฝันสลาย เมื่อล่าสุด “เหลิม” เอ็นเข่าขาดขณะฝึกซ้อมต้องถอนตัวก่อนเดินทางไปโตเกียวเพียงแค่ 2 วัน ทำให้เหรียญทองความหวังนี้จบลงตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

 ส่วนอีก 2 นักชกที่คาดว่ามีลุ้นถึงทองคือ สุดาพร สีสอนดี มวยสากลสมัครเล่น รุ่นไลท์เวทหญิง และ ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี มวยสากลสมัครเล่น รุ่นเฟเธอร์เวทชาย แต่ “สด” ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี ที่อายุมากถึง 35 ปี และการชกที่ถี่ยิบจึงอาจทำให้ไม่ “สด” สมชื่อ

 มาถึงอีก 1 เหรียญทอง อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า ต้องอาศัยจังหวะและโชคดวงจาก กอล์ฟ, ยิงเป้าบิน และ แบดมินตัน

                                                                                       “โปรเหมียว” ปภังกร ธวัชธนกิจ

 ว่ากันว่าในกลุ่มนี้เบอร์หนึ่งคือ “โปรเหมียว” หรือ “แพตตี้” ปภังกร ธวัชธนกิจ กอล์ฟหญิง แม้ชื่อชั้นจะเป็นเป็นรอง “โปรเม” เอรียา จุฑานุกาล อดีตมือ 1 โลก แต่นาทีนี้ “โปรเหมียว” กำลังสดผลงานโดดเด่นตลอดปี หลังจากคว้าแชมป์เมเจอร์แรกที่สหรัฐอเมริกา “เอเอ็นเอ อินสไปรส์เอชั่น 2021” จากก็เรียกว่ามีลุ้นแทบทุกรายการ กระโดดจากอันดับ 103 เป็น 13 ของโลก ในวัย 21 ความสดและความมั่นใจจะทำให้ “โปรเหมียว” ไปไกลอย่างแน่นอน

 อีกรายคือ “ณี” สุธิยา จิวเฉลิมมิตร นักยิงเป้าบิน สกีตหญิง นักกีฬาที่ทุ่มเทแสวงหาความสำเร็จจากโอลิมปิกมาชั่วชีวิต ใก้ล้เคียงกับความสำเร็จมาหลายหน ทุ่มเทและฝึกซ้อมด้วยทุนส่วนตัวมายาวนาน โอลิมปิกสมัยที่ 4 ครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสสุดท้าย หลังคว้าแชมป์เวิลด์คัพ, แชม์เอเชียนเกมส์, แชมป์เอเชีย และ เหรียญเงิน เวิลด์แชมเปี้ยนชิพ ด้วยรางวัลการันตี หากฟอร์มเข้าที่โอกาสของ “ณี” ที่จะหยิบเหรียญทองก็ไม่ใช่เรื่องเกินฝัน

 อีกรายการที่เรียกว่าได้ลุ้นคือ แบดมินตัน คู่ผสม “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ถือเป็นความหวังสูงสุดจากกีฬาลูกขนไก่ หลังกวาด  3 แชมป์รายการระดับซูเปอร์ เวิลด์ทัวร์ 1000 ภายใน 3 สัปดาห์ติด เมื่อต้นปี ผลงานดีจนอยู่ในอันดับ 3 ของโลก เป็นรองเฉพาะคู่จีนที่ยึดคู่มือ 1 และ 2 หากโชว์อำนวยไม่ต้องไปเจอจีน โดยเฉพาะ “ชาง ซีเว่ย” กับ “หวง หย่าเชียง” คู่มือ 1 โลกของจีน ในรอบชิงชนะเลิศ เท่ากับว่าโอกาสของ “บาส-ปอป้อ” จะสูงมากที่จะสร้างประวัติศาสตร์ให้วงการแบดมินตันไทย

                                                                “บาส” เดชาพล กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี

 และทั้งหมดคือความหวัง 3 เหรียญทองของทัพนักกีฬาไทยในโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้

 ส่วนในกลุ่มความหวัง เหรียญเงิน และ เหรียญทองแดง โดยหวังลึกๆ มีสิทธิ์ที่จะเป็น “ม้ามืด” คว้าเหรียญทองได้เช่นกัน คือ “โปรเม” เอรียา จุฑานุกาล กอล์ฟหญิง อดีตมือ 1 โลก ผู้สร้างความสำเร็จมากมายและถือเป็นนักกอล์ฟดีที่สุดที่ประเทศไทยเคยมีมา, 

 “ครีม” ใบสน มณีก้อน มวยสากลสมัครเล่น รุ่นเวลเตอร์เวทหญิง นักชกดาวรุ่งฟอร์มจัดจ้าน ผลงานล่าสุดคือ มวยเยาวชนเอเชียปี 2019 ที่ประเทศมองโกเลีย โดยคว้าแชมป์พร้อมรางวัลนักชกยอดเยี่ยม และ “เฟี้ยว” จุฑามาศ จิตรพงศ์ มวยสากลสมัครเล่น รุ่นฟลายเวทหญิง เนื่องเพราะเป็นรุ่นเล็กและคู่แข็งแกร่งมีไม่มากนัก

 นอกจากนี้ยังมีกรีฑาจาก คีริน ตันติเวทย์ กรีฑา 10,000 เมตรชาย ที่สร้างสถิติที่ดีอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นม้ามืดที่ไม่อาจมองข้าม รวมถึง “จูเนียร์” รามณรงค์ เสวกวิหารี เทควันโด รุ่น 58 กิโลกกรัมชาย และอีก 2 คนจากกีฬาทางน้ำ คือ ศิริพร แก้วดวงงาม วินด์เซิร์ฟ รุ่นอาร์เอสเอ็กซ์หญิง และ ณัฐพงษ์ โพธิ์นพรัตน์ วินด์เซิร์ฟ รุ่นอาร์เอสเอ็กซ์ชาย

 ปิดท้ายด้วยม้ามืดของจริงอย่าง “เมย์” รัชนก อินทนนท์ และ “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธ์ สองนักแบดมินตันหญิงเดี่ยว

                                                                                      “เมย์”รัชนก อินทนนท์

 โดยเฉพาะเส้นทางของ “เมย์”รัชนก อินทนนท์ อดีตแชมป์และมือ 1 โลก เป็นมือวางอันดับ 5 ในโอลิมปิกเกมส์ โดยในรอบ 16 คนมีโอกาสพบกับ เกรกอเรีย มาริสก้า ตุนจุง ดาวรุ่งจากอินโดนีเซีย และจากฟอร์ม “เมย์-รัชนก” โอกาสสูงที่จะเข้า 8 คนสุดท้าย

 และด่านสำคัญคือ “ไถ้ ซือ หยิง” มือ 2 ที่ช่วงหลัง “เมย์-รัชนก” พ่ายแพ้มาตลอด แต่หากพลิกฟอร์มชนะได้ก็มีโอกาสเข้าตัดเชือกกับ อกาเนะ ยามากูชิ มือ 4 ของญี่ปุ่นเจ้าภาพ เรียกว่าเป็นงานหิน แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพราะทั้งคู่ “เมย์”รัชนก เคยเอาชนะมาแล้วเช่นกัน

 สรุป 3 เหรียญทองของทัพนักกีฬาไทยในยุคไร้ความหวังจากกีฬายกน้ำหนัก ถือว่าเหนื่อย แต่ยังเชื่อมั่นว่า ไทย จะมีเหรียญทองจากโอลิมปิก “โตเกียวเกมส์”อย่างแน่นอน