ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ชี้ ทัพนักกีฬาไทย พร้อมกว่า 99 เปอร์เซ็นต์แล้ว พร้อมกำชับให้นักกีฬาและทุกสมาคมกีฬาระมัดระวังตัวมากที่สุด อย่าพยายามเข้าไปสัมผัสหรือใกล้ชิดกับชาติอื่นๆ
ดร.ก้องศักด กล่าวอีกว่า การเดินทางเข้าญี่ปุ่นในช่วงต้นมีความยากลำบากในการเข้าประเทศ เพราะใช้เอกสารค่อนข้างเยอะๆ และมีนักกีฬาหลายชาติเดินทางมาพร้อมกัน ซึ่งก็มีมาตรการเว้นระยะห่าง และลดการแออัด แต่มีเรื่องเอกสารที่ต้องรอนานกว่าจะผ่านด่านมาได้ใช้เวลาถึง 5-6 ชั่วโมง ส่วนการตรวจเชื้อโควิด-19 จะใช้น้ำลาย โดยรวมมาตรการต่างๆของโอลิมปิกครั้งนี้จะคล้ายกันตอนที่ประเทศไทยจัดแบดมินตันระดับเวิล์ด ทัวร์ 3 รายการ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพราะเจ้าภาพญี่ปุ่นได้มาศึกษาดูงาน โดยนักกีฬาจะต้องเดินทางตามเส้นทาง และรถที่ได้รับอนุญาต ซึ่งตอนนี้นักกีาไทยทุกคนปฏิบัติได้ดี และยังไม่มีปัญหาอะไร
ผู้ว่าการ กกท.กล่าวอีกว่า จากการประชุมกับทางไกลกับทาง “บิ๊กต้อม” นายธนา ไชยประสิทธิ์ หัวหน้าคณะนักกีฬาไทยระบุว่า ทางญี่ปุ่นมีมาตรการที่เข้มงวดกับทุกคน และไม่มีข้อยกเว้นเรื่องขั้นตอนการตรวจโควิด-19 ส่วนรายงานการติดเชื้อโควิด-19 มีทั้งภายในหมู่บ้านนักกีฬามีจำนวน 3 คน และอยู่นอกหมู่บ้านนักกีฬาอีกเพิ่มเติม ซึ่งตอนนี้รวมแล้ว 55 คน แต่ทั้งหมดไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับนักกีฬาไทย อย่างไรก็ตาม เราก็ได้ประสานอย่างใกล้ชิดให้นักกีฬาปลอดตัวมากที่สุดนักกีฬาเราก็มีรวมตัวกันอย่างดี กำชับเรื่องการกินอยู่ให้แยกจากกลุ่มนักกีฬาชาติอื่น
ดร.ก้องศักด ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนการประเมินความหวังเหรียญทองโอลิมปิกครั้งนี้ค่อนข้างยากลำบาก เพราะมีข้อจำกัดจากโควิด-19 ซึ่งนักกีฬาไทยที่คว้าโควต้าเข้าร่วมทั้ง 41 คนก็ถือว่าทุกคนเป็นฮีโร่แล้ว แม้ยังไม่ได้คว้าเหรียญ แต่สำหรับความคาดหวังเราก็ตั้งไว้ที่ 1-2 เหรียญทอง โดยเฉพาะ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเทควันโดหญิง เบอร์ 1 โลก รุ่น 49 กก. เป็นความหวังสูงสุด ส่วนชนิดกีฬาอื่นก็มีความหวังเช่นกัน ทั้ง “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย นักกีฬาแบดมินตัน ประเภทคู่ผสม แต่ก็ยังมีคู่แข่งที่น่ากลัวทั้งจีน และเจ้าภาพญี่ปุ่น
“ขณะที่มวยสากลก็ยังแอบหวังอยู่ว่าจะทำผลงานได้ดี รวมทั้งชนิดกีฬาอื่นๆ ที่ยังมีลุ้นได้ในช่วงท้ายของการแข่งขัน ทั้งกอล์ฟ บุคคลชาย และหญิง โดยเฉพาะน้องเม เอรียา จุฑานุกาล และน้องเหมียว ปภังกร ธวัชธนกิจ ส่วนกีฬาอื่นก็ยังแอบลุ้นว่าจะมีเซอร์ไพรส์” บิ๊กก้องกล่าว
ด้านเงินรางวัลตามหลักเกณฑ์กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ในกรณีที่นักกีฬาคว้าเหรียญทองได้จะมอบ 12 ล้านบาท, เหรียญเงิน 7.2 ล้านบาท และเหรียญทองแดง 4.8 ล้านบาท ซึ่งเป็นรูปแบบการแบ่งจ่าย 50 เปอร์เซ็นต์ และแบ่งจ่าย 4 ปี ส่วนอีกรูปแบบจ่ายก้อนเดียวเลยก็จะมีเป็น เหรียญทอง 10 ล้านบาท, เหรียญเงิน 6 ล้านบาท และเหรียญทองแดง 4 ล้านบาท
ดร.ก้องศักด กล่าวเพิ่มเติมว่า การแบ่งจ่ายเงินรางวัลดังกล่าวก็เพื่ออยากให้นักกีฬาเก็บเงินที่ได้ไว้ใช้ในระยะยาว ถ้าไม่ความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งจะได้รับเงินมากขึ้นถึง 2 ล้านบาท แต่ส่วนตัวก็อยากให้นักกีฬาเลือกการรับเงินรางวัลแบบแบ่งจ่าย นอกจากนี้ ยังเชื่อว่านอกจากเงินรางวัลจากภาครัฐโดยกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ยังมีเงินอัดฉีดอีกมากมายจากภาคเอกชนหากทัพนักกีฬาไทยสามารถทำผลงานได้ดีในโตเกียว 2020
“ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต้องอยู่บ้าน และเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เชียร์ทัพนักกีฬาไทยกัน ซึ่งเราต้องยกย่องนักกีฬาทุกคนกันจริงๆ เพราะแม้ในช่วงวิกฤตแบบนี้นักกีฬาก็ยังซ้อม และไปแข่งขันกันได้ จึงฝากให้ช่วยกันติดตามเชียร์ผ่านทางแพลตฟอร์มต่างๆ ตั้งแต่พิธีเปิดวันที่ 23 กรกฎาคม และก็อยากจะให้ช่วยกันส่งกำลังใจนักกีฬาไทยกันเยอะ” ผู้ว่าการ กกท.กล่าวปิดท้าย