บาส-ปอป้อ เล่าความรู้สึกอีกครั้งหลังคว้าแชมป์ 3 รายการประวัติศาสตร์
ปอป้อ : รู้สึกดีใจที่สามารถคว้าแชมป์ 3 รายการซุปเปอร์ 1000 ได้ เพราะส่วนมากพวกเราจะเข้าไปถึงรอบชิงแต่ก็ไปแพ้เป็นส่วนใหญ่ แต่สามรายการนี้ก็ต้องยอมรับว่า เราทำได้ดี และเป็นช่วงเวลาของเรา
มองมาที่รายการนี้ทั้ง 3 รายการ ไม่มีรายการไหนที่เบาเลย ทำตามแผนในแต่ละแมตช์ที่เจอกับคู่ต่อสู้ว่า เรากำลังเจอกับคู่ไหน คุยกันก่อนลงแข่งว่าจะตีประมาณไหน แล้วก็ทำมันให้เต็มที่
บาส : ถ้าพูดถึงฟีลลิ่ง ผมคิดว่าการแข่งทั้ง 3 รายการนี้มีหลายอารมณ์มาก เครียด กดดัน กังวล กับผลการแข่งขันที่ออกมาและอื่นๆ อีก แต่มีอะไรก็จะคุยกับพี่ป้อและโค้ชจนผ่านไปได้เสมอ
3 รายการนี้ มีหลายเกมที่ “บาส-ปอป้อ” ชนะแบบเฉือนๆ 2-1 เกม เกมตัดสินเป็นเกมที่กดดันเสมอแต่ก็ผ่านมาได้ คิดว่านี่คือปัจจัยสำคัญหรือเปลาที่พาประสบความสำเร็จ
ปอป้อ : ก็น่าจะใช่นะคะ ก็กดดันเหมือนกัน แต่มองย้อนกลับไปมันเป็นการฝึกสมาธิและจิตใจของเราไปด้วย มันเป็นบทพิสูจน์ว่า ถ้าเราเจอเกมที่กดดันขนาดนี้เราจะผ่านไปได้หรือเปล่า
บาส : ถ้าเป็นแต่ก่อน ช่วงเกม 3 เราจะแพ้บ่อย แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมา ก็ได้ช่วยหล่อหลอมให้พวกเรามีวันนี้ได้ สามรายการที่เราได้แชมป์ช่วยยกระดับพวกเราได้มากจริงๆ ครับ
ความสำเร็จในครั้งนี้ จะช่วยต่อยอดคู่ของเราในปีนี้อย่างไร
ปอป้อ : ส่วนตัวคิดว่า 3 แชมป์นี้จะสร้างความมั่นใจให้เรามากขึ้น เพราะว่าเรายังไม่ได้เจอคู่ของจีนเลย แต่ถ้าจีนมาคงจะเป็นเกมที่สนุกสูสีแน่นอน เพราะทุกคนก็ฟิตร่างกายเต็มที่ ก็น่าจะสูสี และมีความสุข
บาส : เป็นการเพิ่มความมั่นใจในโปรแกรมการฝึกที่เราเตรียมตัวในช่วง 8-9 เดือนที่หยุดไป แล้วจะมาวัดกันในสนามกับประเทศอื่นว่าแต่ละคนซ้อมมา เป็นยังไงบ้าง และเราสามารถทำได้ ทำให้เห็นว่าตอนนี้ คู่ของเรามาถูกทางแล้ว
ประเมินศักยภาพของตัวเราหลังจากแข่งทั้ง 3 รายการ
ปอป้อ : เกิน 90 แน่นอน อาจเกือบ 100 เลย
บาส : ก่อนแข่ง 100 แน่นอน แต่หลังแข่ง 0 เลย (ขำ) เพราะใส่สุดทุกรายการเลย แต่พอตอนนี้ได้พักผ่อน มันก็เริ่มจะกลับมาเรื่อยๆ
3 รายการนี้ที่ได้ส่งผลอะไรต่อตัวเราในปีนี้ไหมเพราะเป็นรายการสำคัญของแบดมินตันด้วย
ปอป้อ : สร้างความมั่นใจให้เรามากขึ้น เพราะว่าเรายังไม่ได้เจอจีนกับญี่ปุ่นเลย แต่ถ้าจีนมาคงจะเป็นเกมที่สนุกสูสีแน่นอน เพราะทุกคนก็ฟิตร่างกายเต็มที่ ก็น่าจะสูสี เต็มที่ มีความสุขกับการเล่นแน่นอน
บาส : เป็นการเพิ่มความมั่นใจในโปรแกรมการฝึกที่เราเตรียมตัวในช่วง 8-9 เดือนที่หยุดไป แล้วจะมาวัดกันในสนามกับประเทศอื่น ว่าแต่ละคนซ้อมมา จะเป็นยังไงบ้าง และเราสามารถทำได้ ทำให้เห็นว่าตอนนี้เรามาถูกทางแล้ว
ต่อจากนี้ยังคงมีภารกิจที่จะต้องเก็บคะแนนต่อ มีแผนการยังไงบ้าง ที่จะต้องไปแข่งนอกประเทศ
ปอป้อ : มีเวลา 1 เดือนในการเรียกความฟิตกลับมาให้เต็ม 100 แล้วจะเดินทางไปยุโรป ทีนี้ต้องมาวางแผนอีกทีว่าจะอะไรยังไง ต้องดูว่าประเทศไหนที่เราต้องไปก่อนเพื่อกักตัวก่อนการแข่งจะเริ่ม ต้องดูว่าแต่ละประเทศจะจัดแข่งกันแบบไหนด้วย ส่วนร่างกายก็ต้องรักษาสภาพไว้ให้ดีที่สุด และเรื่องของสภาพจิตใจในแต่ละแมตช์ เป้าหมายแน่นอนว่าคือโอลิมปิก แต่ในทุกการแข่งขันเราเต็มที่อย่างแน่นอน
บาส : วางแผนกับที่งานและเลือกรายการที่จะลงแข่ง เพราะถ้าแข่งทุกรายการมันอาจส่งผลกระทบ และต้องดูเรื่องของความปลอดภัยด้วย ส่วนตัวก็ไม่ได้กังวลเรื่องโควิด-19 มากนัก เพราะส่วนมากมันอยู่ที่ตัวเรามากกว่า เราไปเสี่ยงกับมันแค่ไหนไหม เราคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นที่หนึ่งเสมออยู่แล้ว
ในปีนี้ การคว้าเหรียญโอลิมปิก คือเป้าหมายของนักแบดมินตันทุกคน เส้นทางหลังจากนี้ทั้งคู่เตรียมตัวอย่างไร
ปอป้อ : จากประสบการณ์ที่เคยไปโอลิมปิก (หญิงคู่ปี 2016) คิดว่าช่วงเวลาหลังจากนี้ความยากง่ายก็ไม่ต่างจากรายการที่เราเคยแข่งขันมา เพราะเราจะเจอแต่คู่แข่งเดิมๆ ในระดับท็อป และในโอลิมปิกเราก็จะต้องวนมาเจอกับคู่เหล่านี้ คราวนี้เมื่อถึงจุดนั้นก็วัดกันที่วันแข่งเลยว่าใครทำการบ้านมาดีกว่า เตรียมตัวดีกว่า
บาส : สำหรับบาส ครั้งนี้จะเป็นโอลิมปิกครั้งแรก ตอนนี้ไม่ได้ตื่นเต้นมาก เพราะว่าเคยผ่านการแข่งขันรายการใหญ่พอๆ กับโอลิมปิกที่โตเกียวอยู่เหมือนกัน เพราะงั้นบางเรื่องก็จะปรึกษากับ พี่ปอป้อ ว่าจะเจอสิ่งเร้าอะไรบ้าง ต้องเตรียมตัวยังไง ควรทำตัวอย่างไร ในช่วงหลังจากนี้จะพยายามคิดว่า ทุกเกมที่ลงสนามคือแมตช์ใหญ่ เพื่อที่จะได้ฝึกการรับมือกับความกดดัน และเตรียมตัวให้ดี
มองการแข่งโอลิมปิกไว้อย่างไรบ้าง
ปอป้อ : มันจะมีสิ่งเร้าที่ทำให้เราหลุดเป้าหมาย ทีนี้เราพอประเมินได้แล้วว่า จะเจออะไรในโอลิมปิกบ้าง ทำให้เราสามารถโฟกัสที่เป้าหมายได้เต็มที่
บาส: เรื่องความกดดันอาจจะมีบ้าง แต่อยากได้กำลังใจจากแฟนๆมากกว่า เพราะถ้ายิ่งคาดหวังและไม่เป็นไปตามที่หวัง มันอาจหนักกว่าเดิมก็ได้ อยากให้ทุกคนตามเชียร์เหมือนเดิมเหมือนก่อนที่พวกเราจะมาอยู่ในจุดนี้
ปอป้อ : เป้าหมายของเรา ในโอลิมปิก เรามีเป้าหมายเดียวกัน คือ คว้าเหรียญทองโอลิมปิกให้ได้ ไม่มีเป้าหมายอื่นค่ะ
ทั้งคู่เคยคิดไหมว่า ตั้งแต่จับคู่กันแล้ว จะก้าวมาถึงอันดับสองของโลก
ปอป้อ : ไม่ได้คิดเลยค่ะ (ยิ้ม) เพราะพอเราจับคู่ลงแข่งรายการแรก ชิงแชมป์ประเทศไทย ปี 2015 ตอนนั้นตกรอบคัดเลือกประเทศไทยด้วยซ้ำ แต่หลังจากนั้นก็ได้ไปเข้าชิงที่ต่างประเทศ คว้าแชมป์สวิสโอเพ่น (ปี 2016) สไตล์เราก็เริ่มลงตัวมากขึ้น
บาส : ถือว่าเราขึ้นมือ 2 โลกเร็วกว่าที่คิดมาก ได้เจอกับคู่แข่งมาหลายคู่ มีทั้งแพ้ทั้งชนะ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะมาถึงจุดนี้ ตอนนี้เมื่อเรายืนอยู่ตรงนี้ก็จะมุ่งไปข้างหน้าอีก
คิดว่าสู้กับทุกคู่ผสมในโลกได้หรือยัง
ปอป้อ : คิดว่าน่าจะชนะได้ เพราะขนาดจีนเองเราก็มีทั้งแพ้และชนะ ในแต่ละเกมคู่ต่อสู้ต้องหาวิธีเอาชนะเรา ซึ่งมันมีแก้เกมตลอดเวลาอยู่แล้ว ซึ่งในแต่ละแมตช์มันก็ไม่เหมือนกัน
บาส : อยู่ที่ว่าใครทำการบ้านมาได้ดีกว่ากัน เพราะคู่ทุกคู่ก็มีแพ้มีชนะบ้างอยู่แล้ว จุดตัดสินคือใครทำการบ้านและทำแผนการเล่นได้ดีกว่า
ตั้งแต่ที่จับคู่กันมา เคยมีช่วงเวลาไหนไหมที่เราท้อใจ ก่อนที่จะมีวันนี้
ปอป้อ : ที่ผ่านมา ไม่เคยทะเลาะกันเลยนะ รู้สึกว่าลงตัวตลอด แต่ถ้าถามว่า ช่วงที่ท้อใจที่สุด ก็คงเป็นช่วงที่ปอป้อเจ็บตอนปี 2017 ช่วงซีเกมส์ ตอนนั้นจับคู่กับบาส กำลังทำผลงานได้ดี แต่พอเจ็บมันก็ถือว่าเป็นอุปสรรค คือเราก็ห่วงน้องตอนนั้น ว่าน้องจะยังไงต่อ จะรอได้ไหม เราก็เข้าใจความรู้สึก แต่ตอนนั้นเราเองก็พยายามฟื้นฟูร่างกายตามที่แพทย์สั่ง ต้องขอขอบคุณทีมแพทย์ที่ดูแลในวันนั้น และทำให้เราหายกลับมาแข็งแกร่ง
บาส : ตอนนั้นก็คิดว่า ยังไงเราก็รอพี่ป้อ เพราะตอนจับคู่กัน บาสเองก็เป็นคนออกตัวเลยว่า อยากคู่กับพี่ป้อ สาเหตุก็ไม่ใช่อะไรครับ เพราะพี่ป้อเก่ง (ขำ) สุดท้ายเราก็สร้างผลงานที่ดีกันมาเรื่อยๆ
ความประทับใจระหว่างบาส-ปอป้อ ตลอดการจับคู่กันมา
บาส : ก็คงเป็นช่วงเวลาหลังแข่งครับ เวลาแข่งเสร็จบางคู่ที่แพ้ เขาอาจกลับไปคุมอารมณ์ก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน แต่ถ้าเราแพ้ปุ๊บเราคุยปั๊บ เราไม่ยึดติด เราจะคุยกันตลอด และเรามีความกระหายในชัยชนะตลอดเวลา
ปอป้อ : ประทับใจทุกอย่าง ไม่มีอะไรขัดใจ เราเป็นเหมือนพี่น้อง เราเชื่อใจกันและกัน บางอย่างไม่รู้จะบรรยายยังไง แต่เราคือพี่น้อง